ประวัติบ้านคำเดือย
ชาวภูไท (จากเอกสาร ร.3 จ.ศ.1206 เลขที่ 58 หอสมุดแห่งชาติ)
คำว่า "ผู้ไทย" บางท่านมักเขียนว่า "ภูไท" แต่ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานเขียนว่า "ผู้ไทย" ถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวผู้ไทยเดิมอยู่ในแคว้นสิบสองจุไทยและแค้นสิบสองปันนา (ดินแดนส่วนเหนือ)ของลาวและเวียตนามซึ่งติดต่อกับส่วนใต้ของประเทศจีน) ราชอาณาจักไทยได้สูญสียดินแดนแค้วันสิบสองจุไทยให้ฝรั่งเศสเมื่อ ร.ศ.107 (พ.ศ.2431)
เดิมชาวผู้ไทยแบ่งออกเป็น 2 พวกคือ
1. ผู้ไทยดำ มีอยู่ 8 เมือง นิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำและสีคราม
2. ผู้ไทยขาว มีอยู่ 4 เมือง อยู่ใกล้ชิดติดกับชายแดนจีนจึงนิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาว
รวมผู้ไทยดำและผู้ไทยขาวมี 12 เมือง จึงเรียกดินแดนส่วนนี้ว่า "สิบสองจุไทย" หรือ "สองเจ้าไทย" ต่อมาสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 (เจ้าองค์หล่อ) แห่งนครเวียงจันทน์ได้มีหัวหน้าชาวผู้ไทยผู้หนึ่งมีนามว่า "พระยาศรีวรราช" ได้มีความดีความชอบช่วยปราบกบฎในนครเวียงจันทน์จนสงบราบคาบ พระมหากษัตริย์จึงได้พระราชทานพระธิดาชื่อ "พระศรีวรราช" ให้เป็นภรรยา ในกาลต่อมาจึงได้แต่งตั้งให้บุตรอันเกิดจาก พระศรีวรราชหัวหน้าผู้ไทยและเจ้านางช่อฟ้ารวม 4 คนแยกย้ายกันไปปกครองหัวเมืองชาวผู้ไทย คือ สิบอแก, เมืองเชียงค้อ, เมืองวังและเมืองตะโปน (เซโปน) สำหรับเมืองวังตะโปนเป็นเมืองของชาวผู้ไทยที่ตั้งขึ้นใหม่ทางตอนใต้ของราชอาณาจักรเวียงจันทน์ (ปัจจุบันอยู่ในแขวงสุวรรณเขตของลาวติดชายแดนญวน) ต่อมาชาวผู้ไทยจากเมืองวังและเมืองตะโปน ได้แยกย้ายออกไปตั้งเป็นเมืองต่างๆ ขึ้นอีก คือ เมืองพิน, เมือง,นอง, เมืองพ้อง, เมืองพลาน, เมืองเชียงฮ่ม, เมืองผาบัง, เมืองคำอ้อคำเขียว เป็นต้น (เรียบเรียงจากบทพระนิพนธ์ ของ พระบรมวงษ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาเสรีในหนังสือชื่อ "พระราชธรรมเนียมลาว พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2479 ซึ่งพระองค์เธอเป็นพระราชธิดาของราชกาลที่ 4 และเจ้าจอมมารดาดวงคำ ซึ่งเจ้าจอมมารดาดวงคำเป็นพระราชนัดดาของเจ้าอนุวงษ์เวียงจันทร์)
เมืองวัง, เมืองตะโปน เป็นถิ่นกำเนิดของชาวผู้ไทยในฝั่ง ซ้ายแม่น้ำโขง (ดินแดนลาว) ก่อนที่จะอพยพเข้ามาอยู่ในภาคอีสานปัจจุบัน ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อตอน เจ้าอนุวงษ์เวียงจันทน์เป็นกบฎต่อกรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2369 ต่อมาเมื่อกองทัพไทยยกข้ามแม่น้ำโขงไปปราบ ปรามจนสงบราบคาบแล้ว ทางกรุงเทพฯ มีนโยบายจะอพยพชาวผู้ไทยจากเมืองวัง, เมืองตะโปนจากชายแดนปลายพระราชอาณาเขต ซึ่งใกล้ชิดติดกับแดนญานให้ข้ามโขงมาตั้งถิ่นฐานทางฝั่ง ขวาแม่น้ำโขง (ภาคอีสาน)ให้มากที่สุดเพื่อความปลอดภัยมิให้เป็นกำลังแก่นครเวียงจันทน์และฝ่ายญวนอีกต่อไป จึงไปกวาดต้อนผู้คนซึ่งเป็นชาวผู้ไทยจากเมืองวัง, เมืองตะโปน, เมืองพิน, เมืองนอง, เมือง, เมืองคำอ้อคำเขียว ซึ่งอยู่ในแขวงสุวรรณเขตของลาวปัจจุบัน วึ่งยังเป็นอาณาเขตของพระราชอาณาจักรไทยอยู่ในขณะนั้นให้ข้ามโขงมาตั้งบ้านตั้งเมือง ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงในเขต เมืองกาฬสินธุ์ สกลนคร, นครพนมและมุกดาหาร
เมืองคำเขื่อนแก้ว (ปัจจุบันเป็นบ้านคำแก้ว-เมืองเก่า)
ตั้งในสมัยราชกาลที่ 3 เมื่อ พ.ศ. 2387 เป็นชาวผู้ไทยที่อพยพมาจากเมืองวัง จำนวน 1,317 คน ไปตั้งอยู่ที่บ้านคำเขื่อนแก้วเขตเมืองเขมราฐ ตั้งขึ้นเป็นเมืองคำเขื่อนแก้ว ขึ้นเมืองเขมราฐ ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ ท้าวสีหนาท เป็น "พระรามณรงค์" เจ้าเมืองคนแรก เมื่อยุบเมืองคำเขื่อนแก้วได้เอานามเมืองคำเขื่อนแก้วไปตั้งเป็นชื่ออำเภอที่ตั้งขึ้นใหม่ที่ตำบลลุมพุก คือ อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธรในปัจจุบัน ส่วนเมืองคำเขื่อนแก้วเดิมที่เป็นผู้ไทย ปัจจุบันเป็นตำบลคำเขื่อนแก้ว อยู่ในท้องที่อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญในปัจจุบัน
=====================================
“บ้านคำเดือย (ปัจจุบัน) เป็นหมู่บ้านของชนเผ่าภูไท จัดตั้งขึ้นเป็นหมู่บ้านประมาณ ปี พ.ศ. ๒๓๙๘ โดยการนำของ นายวรบุตร (น่าจะนามสกุล ราชวังเมือง) นายระสาน (น่าจะนามสกุล เสาร์สิงห์) และนายอุทุม (นามสกุล...........) พร้อมกับเพื่อนอีกประมาณ ๑๐ ครอบครัวเป็นพวกชนเผ่าภูไทที่ย้ายมาจากเมืองคำเขื่อนแก้ว(บ้านคำแก้ว-เมืองเก่า) และนายไชยแสงพร้อมครอบครัวที่อพยพมาจากเมือง “เซโปน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตั้งแต่สมัยท้าวลาวกวาด ได้เข้ามาพึ่งบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทย
ตอนอพยพมาตั้งถิ่นฐานในที่อยู่อาศัยใหม่แห่งนี้ ที่นี่เป็นบ้านร้างมาก่อนเรียกว่า “บ้านลุมพุหนองหนองสิม” ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบ้าน “บ้านคำเดือย” ตามชื่อของลำห้วยสายหนึ่งซึ่งไหลผ่านเป็นลำห้วยน้ำคำ และเต็มไปด้วยป่าและต้นลูกเดือย
ปัจจุบันบ้านคำเดือยถูกแบ่งออกเป็น ๓ หมู่บ้าน คือ บ้านคำเดือยใหญ่ หมู่ที่ ๒ บ้านคำเดือยกลาง หมู่ที่ ๑๒ และบ้านคำเดือยน้อย หมู่ที่ ๘... ผู้สูงอายุ คนแก่ คนเฒ่าของชนเผ่าภูไทที่นี่ยังคงมีความพยายามที่จะรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไว้อย่างเหนียวแน่น และยังคงรักษาเอกลักษณ์การสื่อสารกันเองในกลุ่มด้วยภาษาภูไท เกือบทุกครอบครัวยังคงมีการรักษาขนบธรรมเนียมและพิธีกรรมต่างๆ ของเผ่าภูไทเอาไว้หลายอย่าง และยังคงให้ความเคารพนับถือ “ผีบรรพบุรุษ” คนเฒ่าคนแก่หลายคน ยังคงแต่งกายด้วยผ้าทอพื้นเมืองที่ทอเองและพยายามรวมตัวกัน เพื่อฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีของชนเผ่า...
===============================================
เชื้อสายคนบ้านคำเดือย
๑. น้องชายของเจ้าเมืองคำเขื่อนแก้วย้ายมาสร้างหมู่บ้านใหม่มีลูกหลาน นามสกุล ราชวังเมือง
๒. ตระกูลที่อพยพมาจากเมืองเซโปน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นามสกุล ชาวเซโปน
๓. แม่ใหญ่ขำแต่งงานกับลูกชายเจ้าเมืองคำเขื่อนแก้ว มีลูกหลานนามสกุลขันตี
๔. ต่อมาสามีตายแม่ใหญ่ขำแต่งงานครั้งที่ ๒ กับนายเขียว มีลูกหลานนามสกุล เคนอ่อน
=============================================================
ประเพณีวัฒนธรรมที่จัดเป็นประจำทุกปี
๑. บุญเดือน ๓ (วันปีใหม่ชาวภูไท)
๒. บุญประจำปี (บุญใหญ่)
จากบทสัมภาษณ์ คุณยายสีหา คำสุข , นายสาเม็ง ปักขิพันธ์
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ อยากจะทราบแหล่งที่มาของข้อมูลด้วยค่ะ มีเอกสารอ้างอิงหรือเปล่าคะ ขอบคุณค่ะ
ตอบลบไม่มีเอกสารอ้างอิงนะครับ ข้อมูลข้างต้นได้มาจากการสัมภาษณ์ ผู้เฒ่าผู้แก่บ้านคำเดือย มี 1.พ่อใหญ่สาเม็ง ปักขีพันธ์(ยังมีชีวิตอยู่) 2. แม่ใหญ่สีหา คำสุข (เสียชีวิตแล้ว)
ลบบ้านลุงผมเองครับ ชาวบ้านยังพูดภูไทกันอยู่ ที่ว่าผู้ไทยถูกต้องตามพจนานุกรมก็ไม่ถูก บ้านเราเขียนอย่างนี้ แต่พจานุกรมเขียนอยู่กรุงโน่นใครจะไปเขียนตาม ข้อมูลหรอครับถ้าอยากรู้มาดูเองเลยครับ มาทาง ต.บุ่งค้า อ.เลิงนกทา จ.ยโสธรก็ได้ ปัจจุบันมีชาวบ้านบางย้ายมาอยู่ที่นี่ ขอบคุณครับ
ลบ